วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่3  วันจันทร์ ที่29 เดือนมกราคม พ.ศ.2561 เวลาเรียน11.30-14.30น.

ความรู้ที่ได้รับ

   ทบทวนความรู้สัปดาห์ที่แล้วที่นำเสนอ


-พัฒนาการ หมายถึง ความสามารถของเด็กที่เปลี่ยนแปลงไปตามระดับอายุ
ลักษณะของพัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง

-ความสนใจ ความต้องการ  มาพร้อมกับพัฒนาการ

-การเรียนรู้ของเด็ก  เกิดขึ้นได้การมีปฎิสัมพันธ์กับสิ่ง เด็กต้องลงมือทำโดยวัตถุ
 การให้แรงเสริม (สกินเนอร์) ให้รางวัล คำชม ควรชมด้วยเหตุผล
 บรูเนอร์ มี3 ขั้น 1.ลงมือกระทำ 2.จินตนาการ 3.สัญญาลักษณ์
 ไวก๊อสกี้  เด็กทำงานร่วมกับผู้อื่น การช่วยเหลือ

-รูปแบบการสอนแบบโครงการ เป็นการสอนให้เด็กเกิดทักษะสืบค้น ค้นคว้า ในเรื่องที่ตนสนใจ


จากนั้นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ4-5คน ให้แต่ละกลุ่มระดมความคิดว่าต้องการสอนเรื่องอะไร แล้วทำ mind mapping








กลุ่มแหล่งน้ำ (กลุ่มดิฉัน)



กลุ่มฝนจ๋า


กลุ่มตัวเรา


กลุ่มยานพาหนะ


กลุ่มผีเสื้อแสนสวย



กลุ่มของเล่นของใช้


อาจารย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำ mind mapping






การประยุกต์ใช้

       เรียนรู้การทำ mind mapping อย่างถูกต้องและสามารถนำไปสอนในอนาคตได้


ประเมินอาจารย์

       อาจารย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำ mind mapping ที่ถูกต้อง


ประเมินตนเอง
  
       ตั้งใจฟังอาจารย์ทบทวนความรู้สัปดาห์ที่แล้ว และจดบันทึกตาม ให้ความร่วมมือในการทำงานกลุ่ม ช่วยกันทำ mind mapping


ประเมินเพื่อน

       เพื่อนให้ความร่วมมือในการทำงานกลุ่ม ช่วยกันระดมความคิด 





     









บันทึกการเรียนครั้งที่2  วันจันทร์ ที่ 22 เดือนมกราคม พ.ศ.2561  เวลาเรียน 11.30-14.30น.

ความรู้ที่ได้รับ
     -สัปดาห์นี้อาจารย์ให้นำเสนองานกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน

   กลุ่มที่1  คุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย

 



กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน ๑๒ มาตรฐานประกอบด้ว

๑.พัฒนาการด้านร่างกาย มี ๒ มาตรฐานคือ

     มาตรฐานที่ ๑ ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
     มาตรฐานที่ ๒ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์

๒.พัฒนาการด้านอารมณ์จิตใจ มี ๓ มาตรฐานคือ

      มาตรฐานที่ ๓ มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
      มาตรฐานที่ ๔ ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
      มาตรฐานที่ ๕ มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม

๓. พัฒนาการด้านสังคม มี ๓ มาตรฐานคือ

     มาตรฐานที่ ๖ มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
     มาตรฐานที่ ๗ รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
     มาตรฐานที่ ๘ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดี ของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น  ประมุข

๔. พัฒนาการด้านสติปัญญา มี ๔ มาตรฐานคือ

     มาตรฐานที่ ๙ ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
     มาตรฐานที่ ๑๐ มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้
     มาตรฐานที่ ๑๑ มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
     มาตรฐานที่ ๑๒ มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหา ความรู้ได้เหมาะสมกับวัย
  
-ควรมีทฤษฎีพัฒนาการด้านต่างๆประกอบด้วย เช่น
               ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) เพียเจต์ (Jean Piaget, 1969)  นักจิตวิทยาชาวสวิสที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญในทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญา หนังสือและบทความทั้งหมดซึ่งเป็นผลงานของเขาเกี่ยวข้องกับความเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นถึงความสำคัญของความเป็นมนุษย์ อยู่ที่มนุษย์มีความสามารถในการสร้างความรู้ผ่านการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งปรากฏอยู่ในตัวเด็กตั้งแต่แรกเกิด ความสามารถนี้คือการปรับตัว (Adaptation) เป็นกระบวนการที่เด็กสร้างโครงสร้างตามความคิด (Scheme) โดยการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งแวดล้อม 2 ลักษณะ คือ เด็กพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดบ้อม โดยซึมซับประสบการณ์ (Assimilation) และการปรับโครงสร้างสติปัญญา (Accommodation) ตามสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดความสมดุลในโครงสร้างความคิด ความเข้าใจ (Equilibration) ทั้งนี้ เพียเจต์ได้แบ่งลำดับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาไว้ 4 ขั้นดังนี้
                1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) พัฒนาการระยะนี้อยู่ในช่วง 2 ปีแรกหลังเกิด ขั้นนี้เป็นขั้นของการเรียนรู้จากประสาทสัมผัส ในขั้นนี้พัฒนาการจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการพัฒนาการเรียนรู้ การแก้ปัญหา มีการจัดระเบียบการกระทำ มีการคิดก่อนที่จะทำ การกระทำจะทำอย่างมีจุดมุ่งหมายด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเด็กยังสามารถเลียนแบบ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวแบบให้เห็นในขณะนั้นได้ ซึ่งแสดงถึงพัฒนาการด้านความจำที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง 18-24 เดือน
                2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage)   ขั้นนี้จะอยู่ในช่วง 2-7 ปี ในระยะ 2-4 ปี เด็กยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง มีขีดจำกัดในการรับรู้ สามารถเข้าใจได้เพียงมิติเดียว ในระยะ 5-6 ปี เด็กจะย่างเข้าสู่ขั้น Intuitive Thought ระยะนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการคิด ที่ขึ้นอยู่กับการรับรู้กับการคิดอย่างมีเหตุผลตามความจริง ซึ่งเด็กจะก้าวออกจากการรับรู้เพียงมิติเดียวไปสู่การรับรู้ได้ในหลาย ๆ มิติในเวลาเดียวกันมากขึ้น และจะก้าวไปสู่การคิดอย่างมีเหตุผล โดยไม่ยึดอยู่กับการรับรู้เท่านั้น เด็กจะเริ่มมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวดีขึ้น แต่ยังคิดและตัดสินผลของการกระทำต่าง ๆ จากสิ่งที่เห็นภายนอก
                3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรม (Concrete Operational Stage) ขั้นนี้ เริ่มจากอายุ 7-11 ปี เด็กจะมีความสามารถคิดเหตุผลและผลที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ยึดอยู่เฉพาะการรับรู้เหมือนขั้นก่อน ๆ ในขั้นนี้เด็กจะสามารถคิดย้อนกลับ (Reversibility) สามารถเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์ (Conservation) สามารถจัดกลุ่มหรือประเภทของสิ่งของ (Classification) และสามารถจัดเรียงลำดับของสิ่งต่าง ๆ (Seriation) ได้ เด็กในขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรมจะพัฒนาจากการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางไปสู่ความสามารถที่จะเข้าใจแนวคิดของสังคมรอบตัว และสามารถเข้าใจว่าผู้อื่นคิดอย่างไรมากขึ้น แม้ว่าการคิดของเด็กวัยนี้จะพัฒนาไปมากแต่การคิดของเด็กยังต้องอาศัยพื้นฐานของการสัมผัสหรือสิ่งที่เป็นรูปธรรม เด็กยังไม่สามารถคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรมที่ซับซ้อนได้เหมือนผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ตอนปลายของขั้นนี้เด็กจะเริ่มเข้าใจสาเหตุของเหตุการณ์รอบตัวพร้อมจะแก้ปัญหา ไม่เพียงแต่สิ่งที่สัมผัสได้หรือเป็นรูปธรรมเท่านั้นแต่เด็กจะเริ่มสามารถแก้ปัญหา โดยอาศัยการตั้งสมมติฐานและอาศัยหลักของความสัมพันธ์ของปัญหานั้น ๆ บ้างแล้ว
               4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) ตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่เป็นช่วงที่เด็กจะสามารถคิดไม่เพียงแต่ในสิ่งที่เห็นหรือได้ยินโดยตรงเหมือนระยะก่อน ๆ อีกต่อไป แต่จะสามารถจินตนาการเงื่อนไขของปัญหาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยพัฒนาสมมติฐานอย่างสมเหตุสมผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งก็หมายถึงว่า ในระยะนี้เด็กจะมีความสามารถคิดหาเหตุผลเหมือนผู้ใหญ่นั่นเอง

                     ทฤษฎีพัฒนาการของกีเซล (Gesell) อาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell. 1880-1961) (อ้างถึงใน สิริมา  ภิญโญอนันตพงษ์, 2547 : 35) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้เริ่มก่อตั้งสถาบันพัฒนาการเด็ก (Institute of Child Development) ณ มหาวิทยาลัยเยล ระหว่างปี ค.ศ. 1930-1940 อธิบายทฤษฎีเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กว่าการเจริญเติบโตของเด็กทางร่างกาย เนื้อเยื่อ อวัยวะ หน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ และพฤติกรรมที่ปรากฏขึ้นเป็นรูปแบบที่แน่นอนและเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้น ประสบการณ์ และสภาพแวดล้อมเป็นองค์ประกอบรองที่ต่อเติมเต็มเสริมพัฒนาการต่าง ๆ กีเซลเชื่อว่าวุฒิภาวะจะถูกกำหนดโดยพันธุกรรม และมีในเด็กแต่ละคนมาตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เด็กแต่ละวัยมีความพร้อมทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ถ้าวุฒิภาวะหรือความพร้อมยังไม่เกิดขึ้นตามปกติในวัยนั้น สภาพแวดล้อมจะไม่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็ก
                 อาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell) ได้สร้างเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดพฤติกรรมของเด็กในแต่ละระดับ เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยใช้วิธีการสังเกตพฤติกรรม ซึ่งเขาได้แบ่งพัฒนาการของเด็กที่ต้องการวัดและประเมินออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่
                        1. พฤติกรรมทางการเคลื่อนไหว (Motor Behavior) ครอบคลุมการบังคับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและความสัมพันธ์ทางด้านการเคลื่อนไหว
                        2. พฤติกรรมทางการปรับตัว (Adaptive Behavior) ครอบคลุมความสัมพันธ์ของการใช้มือและสายตา การสำรวจ ค้นหา การกระทำต่อวัตถุ การแก้ปัญหาในการทำงาน
                        3. พฤติกรรมทางการใช้ภาษา (Language Behavior) ครอบคลุมการที่เด็กใช้ภาษา การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน
                       4. พฤติกรรมส่วนตัวและสังคม (Personal-Social Behavior) ครอบคลุมการฝึกปฏิบัติส่วนตัว เช่น การกินอาหาร การขับถ่าย และการฝึกต่อสภาพสังคม เช่น กรเล่น การตอบสนองผู้อื่น
               จากแนวความคิดของ อาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell) สามารถนำมาอธิบายพัฒนาการของมนุษย์ในด้านการเจริญเติบโตพัฒนาการทางร่างกาย และสามารถนำไปเชื่อมโยงกับพัฒนาการทางสติปัญญาได้อีกด้วย นอกจากนั้น อาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell) ได้เขียนหนังสือขึ้น 2 เล่ม คือ The First Five Year of Life และ The Child from Five to Ten ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้มีบทบาทมากต่อการจัดกลุ่มเด็กเข้าศึกษาในชั้นอนุบาลศึกษาและชั้นประถมศึกษา เกณฑ์มาตรฐานใช้เป็นแบบทดสอบมาตรฐานในการทำนายพฤติกรรม วิเคราะห์กลุ่ม และทำวิจัย เพื่อบอกลักษณะพัฒนาการของเด็ก โดยใช้อายุทางปฏิทินเป็นเกณฑ์ นอกจากนี้มีบทบาทมากในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับเด็ก โดยการจัดกิจกรรมนั้นต้องให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะของเด็กแต่ละคน
  
กลุ่มที่2 ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย


 


                ความสนใจในการอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย หมายถึง กิริยาท่าทางหรือการกระทำที่แสดงออกถึงความสนใจ ความต้องการ กระตือรือร้นที่จะอ่านและเขียนด้วยความเต็มใจ โดยไม่ได้ถูกบังคับหรือทำตามคำสั่ง
                    ความสำคัญของความสนใจในการอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย  เด็กวัย 2-5ปี ถือเป็นวัยทองของภาษา พัฒนาการของพวกเขาจะเจริญงอกงามอย่างมาก ซึ่งถ้าเด็กวัยนี้ได้รับการส่ง เสริมอย่างถูกต้องและเพียงพอ จะทำให้การเรียนรู้ของเด็กพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว

การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมเด็กปฐมวัย
               1.กิจกรรมการเล่นเสรี มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความสนใจในการอ่านและการเขียน เพราะเด็กมีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะเลือกทำกิจกรรมในมุมใด ในแต่ละมุมจะมีวัสดุอุปกรณ์ที่ส่งเสริมภาษา
              2.การสอนเป็นหน่วยบูรณาการ เพื่อให้ประสบการณ์ที่มีความหมายกับเด็ก เพราะได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ เช่น การเจริญเติบโตของพืชแสดงให้เห็นถึงการบูรณาการเนื้อหาในหน่วยการเรียนประกอบด้วยกิจกรรม

 ความต้องการของเด็กปฐมวัย
    1.ความต้องการทางด้านร่างกาย
    2.ความต้องการทางอารมณ์
    3.ความต้องการทางสังคม
    4.ความต้องการทางสติปัญญา

กลุ่มที่3  การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย


 


             เพียเจท์  (Piaget)การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา  เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม
สิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการมี  2  อย่าง คือ
1. การขยายโครงสร้าง  คือ  การที่บุคคลได้รับประสบการณ์หรือรับรู้สิ่งใหม่เข้าไปผสมผสานกับความรู้เดิม
2. การปรับเข้าสู่โครงสร้าง  คือการที่โครงสร้างทางปัญญาของบุคคลนำเอาความรู้ใหม่ที่ได้ปรับปรุงความคิดให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ 3 ด้าน คือ
1. โลกทางกายภาพ (The physical world)
2. โลกทางสังคม (The social world)
3.การสร้างความสัมพันธ์ภายในจิตใจ (The construction of mental relationships)

             ไวกอสกี้  (Vygotsky)  เด็กจะเกิดการเรียนรู้ พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยที่การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นภายในการทำงานของ  Zone of proximal development ซึ่งเป็นสภาวะที่เด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย  ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์

             บรูเนอร์(Bruner)  แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้น
1.ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ (Enactive stage)
2.ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ (Inconic stage)
3.ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์ (Symbolic stage)

กลุ่มที่4  รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบโครงการProject Approach


 



              การสอนแบบโครงการ  การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็กส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาโดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้ 
วิธีจัดการเรียนการสอนมี 3 ระยะ  
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการเด็กจะร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจ
ระยะที่ 2 การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนรู้
ระยะที่ 3 การสรุปProjects

 ประโยชน์การสอนแบบโครงการที่มีต่อเด็กปฐมวัย
  -เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้
 - ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
 - เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเอง
 - เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับในความต้องการของเด็ก



 การประยุกต์ใช้

       นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการจัดกิจกรรมให้เด็กในอนาคตได้   และสามารถนำทฤษฎีไปปรับใช้ในการเรียนอีกด้วยคะ      

การประเมินอาจารย์

         อาจารย์ดูการนำเสนอแต่ละกลุ่ม และให้คำแนะนำแต่ละกลุ่มควรปรับปรุงตรงไหน

การประเมินตนเอง

         ตั้งใจฟังเพื่อนๆนำเสนอ  และจดบันทึกไปด้วยคะ

การประเมินเพื่อน

         เพื่อนๆให้ความร่วมมือและตั้งใจฟังเพื่อนแต่ละกลุ่มนำเสนอคะ












วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่1  วันจันทร์ ที่ 15 เดือนมกราคม พ.ศ.2561  เวลาเรียน 11.30-14.30น.





 ไม่ได้มาเรียน เนื่องจากไม่สบายคะ