วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 8  วันจันทร์ ที่ 5 เดือนมีนนาคม พ.ศ.2561  เวลาเรียน 11.30-14.30น.


ความรู้ที่ได้รับ


           กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ หมายถึง กิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างอิสระ โดยใช้เสียงเพลง จังหวะ และทำนอง คำคล้องจอง หรือเครื่องดนตรีประกอบ การเคลื่อนไหว เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้จังหวะ และควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้

กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะมีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยอย่างไร
1.การเคลื่อนไหวจะช่วยให้สายตาของเด็กมีพัฒนาการ 
2.เด็กต้องการเดิน วิ่ง หรือกลิ้ง 
3.ความสามารถในการจำแนกเสียงต่างๆ



การนำไปประยุกต์ใช้
     
          สามารถนำความรู้จากตรงนี้ไปใช้ในอนาคตและยังได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆอีกด้วย

ประเมินตนเอง
        
         ให้ความร่วมมือเวลาอาจารย์อธิบายและจดบันทึกไปด้วย

ประเมินเพื่อน

          เพื่อนให้ความร่วมมือตลอดเวลาที่อยู่ในห้องเรียน
          
ประเมินอาจารย์
   
         อาจารย์มาสอนตามเวลาทุกครั้ง









บันทึกการเรียนครั้งที่7 วันจันทร์ ที่ 26  เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 เวลาเรียน 11.30-14.30น.


สอบกลางภาค




บันทึกการเรียนครั้งที่ 6   วันจันทร์ที่ 19 เดือนกุมภาพันธ์  พ.ศ. 2561   เวลาเรียน 11.30-14.30 น .


                    อาจารย์ให้ไปค้นคว้างานและทำแผนการสอนทั้ง 6 กิจกรรมหลัก





บันทึกการเรียนครั้งที่ 5  วันจันทร์ที่ 12 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2561  เวลาเรียน 11.30-14.30 น.


ความรู้ที่ได้รับ





    อาจารย์ได้อธิบายการทำแผน และการบูรณาการทักษะวิชาทั่ง 6 วิชา
1.คณิตศาสตร์
2.วิทยาศาสตร์
3.สังคม
4.พละศึกษา
5.ศิลปะสร้างสรรค์
6.ภาษา
   กิจกรรม 6 กิจกรรมหลัก ประกอบด้วย
กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
กิจกรรมสร้างสรรค์
กิจกรรมเสรี
กิจกรรมเสริมประสบการณ์
กิจกรรมกลางแจ้ง
กิจกรรมเกมการศึกษา




หน่วย แหล่งน้ำ







หน่วย  ผีเสื้อ



หน่วย ยานพาหนะ




หน่วย ของใช้



หน่วย ตัวเรา




หน่วย ฝนจ๋า



การนำไปประยุกต์ใช้

          ได้เรียนรู้เกี่ยวกับทำแผนสามารถไปไปใช้ในช่วงฝึกสอนได้


ประเมินตนเอง

          ช่วยเหลือเพื่อและแสดงความคิดเห็นในขณะทำงานกลุ่ม


ประเมินเพื่อน

         เพื่อนๆช่วยกันคิดและยอมรับความคิดเห็นของเพื่อนในกลุ่ม


ประเมินอาจารย์

        อาจารย์มาตรงต่อเวลา ให้คำแนะนำตลอด








บันทึกการเรียนครั้งที่4 วันจันทร์ ที่5 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 เวลาเรียน11.30-14.30น.

ความรู้ที่ได้รับ
 
           นำเสนองานกลุ่ม


กลุ่มที่1 การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่


การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ เป็นการนำวิธีการสอนเด็กที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้าที่ประสบความสำเร็จมาใช้กับเด็กปฐมวัย โดยให้เด็กจับต้องสื่อหรือเล่นอุปกรณ์ต่างๆ ที่เลือกเอง ทำให้เด็กเรียนรู้อย่างมีสมาธิและสร้างสรรค์ เด็กสามารถประสมคำ อ่านคำและฝึกเขียนหนังสือได้ด้วยตนเองตามความสนใจตั้งแต่อายุ 4-5 ปี

การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ คือ การจัดสภาพการเรียนรู้สำหรับเด็ก โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน และเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้เสรีภาพแก่เด็ก ให้คำปรึกษาและกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ให้ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อม โดยครูคำนึง ถึงความสนใจ ความต้องการและความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ของเด็กและยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย การจัดการสอนแบบมอนเตสซอรี่จะคำนึงถึงเด็กเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ จัดสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ให้เด็กได้ฝึกทักษะกลไกผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า รู้จักควบคุมการทำงานด้วยตัวเอง เพราะมอนเตสซอรี่เชื่อว่า เด็กคือ ผู้รู้ความต้องการของตนเองและมีความสามารถที่จะซึมซับการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมได้ หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้านคือ
1.ด้านทักษะกลไก (Motor Education) 
2.ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses)
3.ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic)

หลักการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่มีดังนี้

-จัดห้องเรียนให้เสมือนบ้าน
-ให้เสรีภาพกับเด็กที่จะเลือกเล่นด้วยตนเอง
-จัดสภาพการ์ต่างๆที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง


การเรียนการสอนแบบมอนเตอสซอรี่มีประโยชน์ต่อเด็ฏปฐมวัยอย่างไร

-เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
-เด็กเรียนด้วยความสุข
-การเรียนที่มุ่งให้เด็กทำกิจกรรมสำเร็จด้วยตนเอง


กลุ่มที่2 ภาษาธรรมชาติ



การสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach) คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน หรือเขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เช่น อ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังนิทานที่ครูหรือเพื่อนเล่า เขียนคำที่ตนสนใจจากเรื่องที่ได้อ่านหรือได้ฟัง เป็นต้น


กลุ่มที่3 การจัดทำสารนิทัศน์ในระดับปฐมวัย




การจัดทำสารนิทัศน์ (Documentation) เป็นการจัดทำข้อมูลที่เป็นหลักฐานหรือแสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญ เติบโต พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจากการทำกิจกรรมทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม ซึ่งหลักฐานและข้อมูลที่บัน ทึกเป็นระยะๆ จะเป็นข้อมูลอธิบายภาพเด็ก สามารถบ่งบอกถึงพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา สารนิทัศน์เป็นการประมวลผลที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนการสอนของครูและร่องรอยผลงานของเด็ก จากการทำกิจกรรมที่สะท้อนถึงพัฒนาการในด้านต่างๆ การจัดทำสารนิทัศน์จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวัดและประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย
  1. สารนิทัศน์ประเภทที่ 1 การบรรยายเรื่องราว หรือประสบการณ์
  2. สารนิทัศน์ประเภทที่ 2 การสังเกตพัฒนาการเด็ก
  3. สารนิทัศน์ประเภทที่ 3 แฟ้มสะสมงาน
  4. สารนิทัศน์ประเภทที่ 4 ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม
  5. สารนิทัศน์ประเภทที่ 5 การสะท้อนตนเอง

กลุ่มที่ 4 แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)


  



เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ช่วยให้ก้าวหน้าทางพัฒนาการด้านต่างๆและความสำเร็จของเด็ก  การจัดเก็บรวบรวมข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้มีโอกาศสะท้อนความคิิดและแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างสมบูรณ์

องค์ประกอบของแฟ้มสะสมผลลงาน
1.ส่วนปก ปกนอกและปกใน
2.ส่วนนำ คำนำ ข้อมูลผู้เรียน สารบัญ
3.ส่วนเนื้อหา เป็นส่วนรวบรวมหลักฐาน ผลงาน

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในแฟ้มสะสมผลงาน
1.การสังเกต
2.การบันทึก
3.การสนทนา
4.การสัมภาษณ์



กลุ่มที่5 วอลดอร์ฟ (Woldorf)




การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีลักษณะอย่างไร
-ความเข้าใจของครูผู้สอน
-ทักษะศิลปะของครูผู้สอน
-การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
-ธรรมชาติการเรียนรู้ในวัยเด็ก
-เล่นอย่างอิสระโดยไม่แทรกแซง
-บทบาทครู ( 3 R ) ได้แก่ 1.การทำซ้ำ (Repetition) 2.จังหวะ (Rhythm) 3.เคารพ (Reverence)

การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีประโยชน์ต่อเด็กกปฐมวัยอย่างไร
-เด็กมีอิสระ พัฒนาตนเต็มศักยภาพที่ตนมี
-เด็กมีความคิดแยบคาย สดใส มีพลังและสร้างสรรค์
-เด็กมีความเมตตา กล้าหาญ ใฝ่รู้ เอื้ออาทร


กลุ่มที่6 ไฮสโคป High Scope




ไฮสโคป (High Scope) เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ ซึ่งตรงตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory) ของเปียเจต์ (Piaget) นักการศึกษาที่สำคัญคนหนึ่งของโลก ความสำคัญในด้านพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียน จะเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) เพราะเด็กจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทำให้เกิดความคิด  ความรู้  ความเข้าใจ และรู้จักลงมือแก้ปัญหาด้วยตนอง

แนวการสอนแบบไฮสโคป (High Scope) เป็นอย่างไร

ไฮสโคป (High Scope)ใช้หลักปฏิบัติ 3 ประการ คือ 

1. การวางแผน (Plan)
2. การปฏิบัติ (Do)
3. การทบทวน (Review)

ประโยชน์ของแนวการสอนไฮสโคป (High Scope) ที่มีต่อเด็ก

1.สอนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น 
2.การลงมือทำงานฝึกให้เด็กวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน เป็นระบบ
3.เด็กได้ฝึกสมาธิทำให้เด็กเกิดปัญญา ฝึกความมีระเบียบวินัย 

การนำไปประยุกต์ใช้

            สามารถนำความรู้ที่เพื่อนนำเสนอไปใช้ในอนาคตได้

ประเมินตนเอง
        
            ให้ความร่วมมือตลอดเวลาที่เพื่อนนำเสนอ และมีการจััดบันทึก

ประเมินเพื่อน

            เพื่อนมีความพร้อมดีและนำเสนออย่างเข้าใจ

ปรเมินอาจารย์

               อาจารย์ให้คำแนะนำและอธิบายเพิ่มเติม